กายภาพบำบัดหลังผ่าตัดที่บ้าน ฟื้นฟูร่างกาย และการดูแลตัวเอง | NTKGoodHealth
หลังจากการผ่าตัด ร่างกายต้องใช้เวลาในการปรับตัวและซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย ซึ่งในช่วง “พักฟื้นหลังผ่าตัด” การดูแลอย่างถูกวิธีมีผลอย่างมากต่อความเร็วในการหายของแผลและคุณภาพชีวิตในระยะยาว การทำ กายภาพบำบัดหลังผ่าตัดที่บ้าน จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม เพราะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องเดินทาง และยังลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน เช่น ปวดแผล กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือท้องอืดหลังผ่าตัด
ทำไม “กายภาพบำบัดหลังผ่าตัดที่บ้าน” ถึงสำคัญ
เมื่อร่างกายผ่านการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็น ผ่าตัดใหญ่ เช่น ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ หรือ ผ่าตัดเล็ก อย่างไส้ติ่ง การเคลื่อนไหวที่เหมาะสมจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ลดบวม และลดความเสี่ยงของภาวะกล้ามเนื้อฝ่อ การกายภาพหลังผ่าตัดยังช่วยลดโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตัน (Deep Vein Thrombosis) ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่ต้องนอนนิ่งนาน ๆ
ในอดีต ผู้ป่วยต้องไปทำกายภาพที่โรงพยาบาล แต่ปัจจุบันมีบริการ กายภาพบำบัดที่บ้าน (Home Physical Therapy) ที่ช่วยอำนวยความสะดวก โดยนักกายภาพจะประเมินระดับความสามารถของผู้ป่วย ออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูเฉพาะบุคคล เช่น การฝึกเดิน การฝึกหายใจ การยืดกล้ามเนื้อ เพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเร็วที่สุด
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัด พื้นฐานของการฟื้นฟูที่ดี
ช่วงเวลาหลังผ่าตัดถือเป็น “Golden Recovery Period” ที่ต้องให้ความสำคัญกับการพักผ่อน การรับประทานอาหาร และการดูแลแผลอย่างเคร่งครัด โดยปกติแล้ว
ผ่าตัดเล็ก เช่น ผ่าตัดไส้ติ่งหรือไส้เลื่อน พักฟื้นประมาณ 1–2 สัปดาห์
ผ่าตัดใหญ่ เช่น ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ หรือผ่าตัดมดลูก พักฟื้น 4–6 สัปดาห์
ผ่าตัดสมองหรือหัวใจ ใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า 6–8 สัปดาห์
แนวทางการดูแลตนเอง
นอนพักให้เพียงพอ – หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน
ลุกเดินเบา ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
หลีกเลี่ยงการยกของหนัก อย่างน้อย 4–6 สัปดาห์
ทำแผลให้สะอาด และสังเกตอาการบวมแดงหรือมีหนอง
พบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจประเมินการสมานของแผล
หากสงสัยว่าแผลอักเสบหรือมีอาการปวดมากผิดปกติ ควรรีบไปโรงพยาบาล ไม่ควรพยายามล้างแผลเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
การจัดการความเจ็บปวดและภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
หลังผ่าตัดร่างกายจะมีอาการปวด บวม หรือชา ซึ่งเป็นภาวะปกติ แต่หากปวดมาก ควรรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น Paracetamol หรือยากลุ่ม NSAIDs (ในกรณีไม่มีโรคแทรกซ้อน)
วิธีบรรเทาอาการปวดแผลผ่าตัดที่บ้าน ได้แก่
ประคบเย็นบริเวณใกล้แผล 10–15 นาที
หลีกเลี่ยงการเกร็งกล้ามเนื้อหรือยืดร่างกายแรง ๆ
ทำกายภาพเบา ๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียน
ดูแลให้บริเวณแผลสะอาดและแห้ง
ภาวะแทรกซ้อนที่ควรระวัง เช่น
แผลมีหนองหรือมีกลิ่น
ไข้สูงกว่า 38°C
แผลปริหรือมีเลือดซึมต่อเนื่อง
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที
วิธีแก้อาการ “ท้องอืดหลังผ่าตัด”
ภาวะท้องอืดหลังผ่าตัดเป็นผลจาก “การดมยาสลบ” ที่ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวช้าลง ร่วมกับการนอนนิ่งและไม่เคลื่อนไหวมากพอ
แนวทางบรรเทาอาการท้องอืด
ลุกนั่งหรือเดินช้า ๆ ทุก 2–3 ชั่วโมง
ดื่มน้ำอุ่นและหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลม
นวดหน้าท้องเบา ๆ ตามเข็มนาฬิกา
รับประทานอาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม ซุปผัก
หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3 วัน ควรปรึกษาแพทย์
สำหรับผู้ที่ผ่าตัด ลำไส้ทะลุ หรือ ลำไส้อุดตัน ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในช่องท้อง
เมนูอาหารหลังผ่าตัด กินอย่างไรให้ฟื้นตัวเร็ว
โภชนาการหลังผ่าตัดมีบทบาทสำคัญต่อการสมานแผลและการฟื้นตัว
อาหารที่ควรรับประทาน
โปรตีนสูง เช่น เนื้อปลา เต้าหู้ ไข่ขาว
คาร์โบไฮเดรตย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก
ผักนึ่งหรือต้ม เช่น ฟักทอง แครอท บร็อกโคลี
ผลไม้ย่อยง่าย เช่น กล้วย มะละกอสุก ส้ม
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
ของทอดหรือมันจัด
กาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ผลไม้ที่ทำให้ท้องอืด เช่น ฝรั่งดิบ ทุเรียน มะม่วงดิบ
อาหารรสจัดและอาหารหมักดอง
คำถามยอดนิยม
“หลังผ่าตัดกินกาแฟได้ไหม?” → ควรงด 7–10 วันแรก เพราะคาเฟอีนกระตุ้นลำไส้
“หลังผ่าตัดไส้ติ่งกินผลไม้อะไรได้บ้าง?” → กล้วยและมะละกอสุกเหมาะที่สุด
“ผลไม้ห้ามกินหลังผ่าตัดไส้ติ่ง?” → หลีกเลี่ยงฝรั่งหรือผลไม้มีเมล็ดแข็ง
ท่ากายภาพบำบัด ที่สามารถทำได้เองที่บ้าน
หลังผ่าตัดควรเริ่มทำกายภาพเบา ๆ เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนและป้องกันข้อติด
ตัวอย่างท่ากายภาพพื้นฐาน
การหายใจลึก (Deep Breathing Exercise)
สูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ทางจมูก กลั้นไว้ 3 วินาที แล้วค่อย ๆ ผ่อนออกทางปากการขยับข้อเท้า (Ankle Pump)
กระดกข้อเท้าขึ้นลงเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดการเกร็งต้นขา (Quad Set)
เกร็งกล้ามเนื้อต้นขา ค้างไว้ 5 วินาที แล้วผ่อน 10 รอบ
ท่านอน
หลังผ่าตัดไส้ติ่ง นอนตะแคงขวาเพื่อลดแรงกดที่แผล
หลังผ่าตัดไส้เลื่อน นอนหงายโดยมีหมอนหนุนใต้เข่า
หลังผ่าตัดมดลูก นอนราบบนพื้นราบไม่งอหลัง
การดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด เฉพาะส่วน
แต่ละอวัยวะมีแนวทางฟื้นฟูแตกต่างกัน เช่น
ผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่ หลีกเลี่ยงการยกของหนักและอาหารไขมันสูง
ผ่าตัดสมอง ควบคุมความดันโลหิตและพักผ่อนให้เพียงพอ
ผ่าตัดไทรอยด์ รับประทานอาหารอ่อน หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด
สำหรับผู้ที่ผ่าตัดด้วยการวางยาสลบ ควรรู้ว่า “ยาสลบกี่ชั่วโมงฟื้น” โดยทั่วไปจะใช้เวลา 1–2 ชั่วโมง และอาจมีอาการคลื่นไส้ในวันแรก ควรดื่มน้ำอุ่นและพักผ่อนให้มาก
การฟื้นฟูจิตใจหลังผ่าตัด
หลังผ่าตัด หลายคนมีภาวะวิตกกังวลหรือซึมเศร้า การดูแลจิตใจจึงสำคัญไม่แพ้ร่างกาย
สร้างกำลังใจจากครอบครัว
ทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น อ่านหนังสือ หรือฟังเพลง
ปรึกษานักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญหากมีอาการเศร้าเรื้อรัง
สัญญาณอันตรายที่ต้องพบแพทย์ทันที
ควรรีบไปโรงพยาบาล หากพบว่า
มีไข้สูงกว่า 38°C
แผลบวม แดง หรือมีหนอง
ปวดมากจนยาทั่วไปเอาไม่อยู่
มีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือหายใจลำบาก
หากไม่มั่นใจ สามารถสอบถาม บริการกายภาพบำบัดหลังผ่าตัดที่บ้าน โดย NTKGoodHealth ซึ่งมีทีมพยาบาลและนักกายภาพคอยดูแลอย่างใกล้ชิด Tel. 082-791-6559 / 091-710-5596 และ LINE. @ntkgood
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
1. หลังผ่าตัดควรเริ่มทำกายภาพบำบัดเมื่อไหร่?
โดยทั่วไป สามารถเริ่มกายภาพบำบัดได้ภายใน 24–48 ชั่วโมงหลังผ่าตัด (ตามคำแนะนำแพทย์)
การเริ่มขยับเบา ๆ จะช่วยลดอาการบวมและป้องกันลิ่มเลือดอุดตัน
หากผ่าตัดใหญ่ เช่น ผ่าตัดลำไส้ หรือมดลูก ควรเริ่มจากท่านอนหายใจลึก แล้วค่อยเพิ่มท่าเดินช้า ๆ
แนะนำอ่านต่อ: กายภาพบำบัดผู้สูงอายุที่บ้าน เพื่อดูตัวอย่างท่ากายภาพเบื้องต้นและวิธีออกกำลังกายปลอดภัย
2. หลังผ่าตัดกินอะไรได้บ้าง และควรหลีกเลี่ยงอะไร?
เริ่มจากอาหารอ่อนและย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม ซุปผัก เต้าหู้ น้ำเต้าหู้
หลีกเลี่ยงของทอด คาเฟอีน แอลกอฮอล์ และผลไม้แข็งหรือมีแกนเมล็ด เช่น ฝรั่ง มะม่วงดิบ
หากผ่าตัดลำไส้ ควรเน้นโปรตีนสูงและดื่มน้ำให้เพียงพอ
อ่านเพิ่มเติม: โภชนาการผู้สูงอายุ เมนูอาหารฟื้นฟูร่างกาย เพื่อปรับเมนูให้เหมาะกับช่วงพักฟื้น
3. ท้องอืดหลังผ่าตัดเกิดจากอะไร และหายภายในกี่วัน?
เกิดจาก ผลของยาสลบและการนอนนิ่งนานเกินไป ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวช้า
โดยปกติจะหายภายใน 2–3 วัน หากขยับร่างกายเบา ๆ ดื่มน้ำอุ่น และรับประทานอาหารย่อยง่าย
หากเกิน 3 วันแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์
4. ปวดแผลผ่าตัดนานแค่ไหนถือว่าปกติ?
โดยทั่วไปอาการปวดจะค่อย ๆ ลดลงภายใน 1–2 สัปดาห์
หากยังปวดต่อเนื่องเกิน 3 สัปดาห์ หรือมีอาการบวมแดง อาจเกิดการอักเสบ
ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับยาหรือทำแผลเพิ่มเติม
ดูเพิ่มเติม: ป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ สำหรับผู้ที่กลับมาเดินได้เร็วขึ้น แต่ยังต้องเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
5. ผ่าตัดแต่ละชนิดพักฟื้นกี่วัน?
ผ่าตัดเล็ก (ไส้ติ่ง, ไส้เลื่อน) 7–14 วัน
ผ่าตัดใหญ่ (ลำไส้, มดลูก, รังไข่) 3–6 สัปดาห์
ผ่าตัดสมองหรือหัวใจ 6–8 สัปดาห์
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสุขภาพพื้นฐานของผู้ป่วยและการทำกายภาพอย่างต่อเนื่อง
หากต้องการดูแนวทางฟื้นตัวเร็วขึ้น ลองอ่าน ท่าออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งปรับใช้ได้กับผู้ที่เพิ่งผ่าตัดเช่นกัน
6. กายภาพบำบัดที่บ้านทำได้เองหรือควรมีนักกายภาพดูแล?
สามารถทำได้เองในระดับเบื้องต้น เช่น การฝึกหายใจลึก การขยับขา การยืดกล้ามเนื้อ
แต่ถ้าผ่าตัดใหญ่ หรือผู้สูงอายุมีภาวะอ่อนแรง ควรมีนักกายภาพดูแล
เพื่อป้องกันการเคลื่อนไหวผิดท่าหรือเกิดอุบัติเหตุซ้ำ
บริการแนะนำ: กายภาพบำบัดผู้สูงอายุที่บ้าน NTKGoodHealth
7. ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดที่ควรระวังมีอะไรบ้าง?
แผลอักเสบ มีหนอง
ท้องอืด แน่นท้อง ไม่ถ่าย
ปวดแผลมากหรือมีเลือดออก
มีไข้หรืออาการเหนื่อยง่ายผิดปกติ
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของ การติดเชื้อในช่องท้องหรือภาวะลำไส้ทะลุ
8. หลังผ่าตัดสามารถออกกำลังกายได้เมื่อไหร่?
เริ่มจากท่าพื้นฐาน เช่น การหายใจลึกและขยับขาได้ตั้งแต่วันที่ 2–3 หลังผ่าตัด
ส่วนการเดินเร็วหรือออกกำลังกายหนัก ควรรออย่างน้อย 4–6 สัปดาห์
และต้องได้รับอนุญาตจากแพทย์ก่อน
อ่านเพิ่มเติม การออกกำลังกายป้องกันหกล้ม และ อุปกรณ์ช่วยกายภาพบำบัดที่เหมาะกับผู้สูงวัย
9. หลังผ่าตัดกินกาแฟได้ไหม?
ควรงดกาแฟในช่วง 7 วันแรก เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นระบบประสาทและลำไส้ ทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือปวดแผล
หลังจากนั้นสามารถดื่มได้ในปริมาณพอเหมาะ ½ แก้วต่อวัน
10. ผ่าตัดมดลูกแล้วท้องไม่ยุบ ทำไม?
เกิดจาก “การบวมน้ำในช่องท้อง” หรือ “การขาดการเคลื่อนไหว”
แนะนำให้ทำกายภาพเบา ๆ เช่น เดินรอบบ้าน นวดหน้าท้องเบา ๆ และรับประทานอาหารลดโซเดียม
หากผ่านไป 3 เดือนแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินการฟื้นตัวของมดลูก